วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ความหมายของพระไตรปิฎก


พระไตรปิฎก มาจากภาษาบาลีว่า ติปิฎกหรือเตปิฎก โดยแยกเป็นคำ ดังนี้ 
      พระ หมายถึง คำแสดงความเคารพหรือยกย่อง  
      ไตร แปลว่า 3
      ปิฎก แปลว่า คัมภีร์หรือตำรา กับ กระจาดหรือตะกร้า 
      พระไตรปิฎก  หมายถึง  คัมภีร์หรือตำรา  ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธศาสนาไว้เป็นหมวดหมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย มี 3 คัมภีร์ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก  พระไตรปิฎกเป็นสิ่งที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาให้อยู่ยาวนานต่อ ๆ ไป ในอดีตมีวิธีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาด้วยวิธีการท่องจำ (มุขปาฐะ) จนกระทั่งถึงสมัยที่มีการจดจารจารึกพระไตรปิฎกเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วมีมาถึงปัจจุบัน ภาษาที่ใช้ในพระไตรปิฎก คือภาษาบาลี ในปัจจุบันแม้จะมีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ แต่ในการประกอบพิธีกรรมสำคัญ ๆ ก็ยังใช้ภาษาบาลีอยู่ พุทธศาสนิกชนจึงควรศึกษาเพื่อจะได้นำหลักธรรมที่ดีมาใช้ในการดำรงชีวิตให้เกิดความสุข ความเจริญทั้งตนเองและสังคม


ความเป็นมาของพระไตรปิฎก
        ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันปรินิพพานพระองค์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดให้เป็นศาสดาสืบต่อจากพระองค์ นอกจากจะทรงประทานพุทธพจน์ที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของพระองค์ไว้ว่า พระธรรมและวินัยที่มีเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว นี่แสดงว่าในสมัยพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้นยังไม่มีพระไตรปิฎกบันทึกคำสอน
ดังที่เราทราบกันอยู่ในปัจจุบัน พุทธวจนะหรือคำสอนของพระพุทธเจ้ามีชื่อเรียกกันในสมัยนั้น 2 อย่าง  คือ 
         1. เรียก พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ดังพุทธวจน์ที่ตรัสเมื่อครั้งทรงส่งพระอรหันตสาวก 60 รูป ไปเผยแผ่พระศาสนาครั้งแรกว่า
         จรถ ภิกฺขเว, จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย, อตฺถาย หิตาย สุขาย, เทวมนุสฺสานํ เทเสตุ ภิกฺขเว ธมฺมํ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพ?ชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสสิฯ
        ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พหูชน เพื่อความสุขแก่พหูชน เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะ อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
        2. เรียกว่า ธมฺมวินเย (ธรรมวินัย) ดังพุทธวจนะที่ตรัสแก่พระอานนท์ พุทธอนุชา ก่อนเสด็จดับขันฐปรินิพพานว่า
        โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ป.ตฺโต. โส โว มมจฺจเยนฯ
        ดูกรอานนท์ ธรรมและวินัยใดที่ตถาคตแสดงไว้แล้ว บัญญัติไว้แล้ว ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของพวกเธอ เมื่อตถาคตล่วงลับไปแล้ว


โครงสร้างของพระไตรปิฎก 
   พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ 3 คัมภีร์ที่สามารถแยกเป็นแผนโครงสร้าง ดังต่อนี้
      1.  พระวินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี
      2.  พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนา ทั่ว ๆ ไป
      3.  พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะล้วน ๆ หรือธรรมที่สำคัญ


ความเป็นมาของพระไตรปิฎก    
   เมื่อพระพุทธเจ้ายังมีชีวิต  หลักธรรมคำสั่งสอนต่าง ๆ ก็ยังไม่ได้จัดเป็นรูปแบบหรือหมวดหมู่ใด ๆ เหล่าสาวกจะช่วยกันจดจำแล้วถ่ายทอดต่อ ๆ กันมาปากต่อปากที่เรียกว่า  มุขปาฐะ สาวกบางองค์ก็จะนำไปดัดแปลงหรือจัดหมวดหมู่เอง เพื่อให้ง่ายในการเผยแผ่ก็มี ถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้นก็จะไปถามพระพุทธเจ้า คำสั่งสอนต่างๆ ที่ถือว่าเป็นพระพุทธวจนะนั้นเดิมเรียกว่า  พระธรรมวินัย   มีการรวบรวมให้เป็นระเบียบและหมวดหมู่   เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เรียนว่า  สังคายนา การจัดทำสังคายนาได้จัดทำต่อเนื่องกันมาหลายครั้ง  จนกระทั่งได้จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรจึงเรียกว่า  พระไตรปิฎก ซึ่งได้ริเริ่มจัดทำขึ้นเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 433 ปี โดยมีรายละเอียดดังนี้ 


การสังคายนาในอินเดีย  มี 3 ครั้งดังนี้
   การสังคายนาครั้งที่ 1
      ปรารภเรื่องสุภัททภิกษุผู้บวชเมื่อแก่กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย ที่เมื่อทราบข่าวพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานใหม่ๆได้แสดงความยินดีว่า เมื่อสิ้นพระศาสดาเสียแล้วจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีคนคอยตำหนิ ติเตียน ห้ามปราม,  จึงปรารภที่จะทำให้ธรรมและพระศาสนารุ่งเรืองอยู่สืบต่อไป พระอรหันต์ 500 รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน และเป็นผู้ถาม พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาพระธรรม ประชุมสังคายนาที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภารบรรพต เมืองราชคฤห์ เมื่อหลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือนโดยพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา 7 เดือนจึงเสร็จ
สังคายนาครั้งที่ 2 ปรารภพวกภิกษุวัชชีบุตรแสดงวัตถุ 10 ประการ นอกธรรม นอกวินัย กล่าวคือ ภิกษุพวกหนึ่งชาวเมืองเวสาลี แสดงวัตถุ 10 ประการ ละเมิดธรรมวินัยอันเป็นต้นเหตุแห่งการสังคายนาครั้งที่ 2 โดยไปจัดของนอกธรรมนอกวินัยว่า เป็นของดี ว่าถูกต้อง อันเป็นไปในทางเพื่อลาภ เพื่อความสะดวกสบาย ฯ.  อันทำให้พระศาสนาเสื่อม มัวหมองพระยศกากัณฑกบุตรเป็นผู้ชักชวน ได้พระอรหันต์ 700 รูป พระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา ประชุมทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี เมื่อ พ.ศ 100
 โดยพระเจ้ากาลาโศกราช เป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา 8 เดือนจึงเสร็จ
สังคายนาครั้งที่ 3 ปรารภเดียรถีย์มากมายปลอมบวชในพระศาสนาเพราะมีลาภสักการะเกิดขึ้นมาก พระอรหันต์ 1,000 รูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน ประชุมทำที่อโศการามเมืองปาฏลีบุตร เมื่อประมาณ พ.ศ. 234 (พ.ศ. 218 เป็นปีที่พระเจ้าอโศกขึ้นครองราชย์) และมีศิลาจารึกที่ปรากฏเป็นหลักฐานบางส่วนอยู่จนถึงปัจจุบัน
 โดยพระเจ้าอโศก หรือ ศรีธรรมาโศกราชเป็นศาสนูปถัภก์ สิ้นเวลา 9 เดือนจึงเสร็จ

การสังคายนาในลังกา  มี  3  ครั้งดังนี้
   การสังคายนาครั้งที่  1  กระทำใน พ.ศ. 238 มีพระมหินทเถระเป็นประธานเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในลังกาให้มั่นคงขึ้น  โดยจัดทำที่ถูปาราม  เมืองอนุราชปุระ 
   การสังคายนาครั้งที่  2  กระทำเมื่อ  พ.ศ. 433  ในสมัยของพระเจ้าวัฎฎคามณีอภัยโดยมีเหตุผลว่า  การท่องจำพระพุทธวจนะต่อไปอาจมีข้อผิดพลาดได้  เพราะปัญหาในการท่องจำของกุลบุตรเสื่อมลง  จึงได้ตกลงจารึกพระพุทธวจนะเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยภาษาบาลี  ลงใน  ใบลาน  โดยกระทำที่มลัยชนบท มีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน
   การสังคายนาครั้งที่  3  กระทำใน พ.ศ. 2408  ที่รัตนปุระ มีพระหิกปทุเว สิริสุมังคละเป็นหัวหน้า  ใช้เวลากระทำ  5  เดือน


การสังคายนาของไทยเกี่ยวกับพระไตรปิฎก  แบ่งเป็น  4  สมัย ดังนี้
      สมัยที่ ชำระและจารลงในใบลาน กระทำที่เมืองเชียงใหม่ สมัยพระเจ้าติโลกราช ปี  พ.ศ. 2020
      สมัยที่ ชำระและจารลงในใบลานกระทำที่กรุงเทพ ฯ สมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ปีพ.ศ. 2331  
      สมัยที่ ชำระและพิมพ์เป็นเล่มกระทำที่กรุงเทพ ฯ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่  5  พ.ศ. 2431  ถึง  พ.ศ. 2436
      สมัยที่ ชำระและพิมพ์เป็นเล่ม  กระทำที่กรุงเทพ ฯ สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่  7  พ.ศ. 2468  ถึง  พ.ศ. 2473

ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก
1.  ฤกษ์งามยามดี
               พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในติกนิบาต  อังคุตตรนิกายว่า  “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตทาง  กาย  วาจา  ใจ  ในเวลาเช้า  เช้าวันนั้นย่อมเป็นเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น  สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตทาง กาย วาจา ใจ  ในเวลากลางวัน  กลางวันนั้นย่อมเป็นกลางวันที่ดีของสัตว์เหล่านั้น  สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตทาง  กาย วาจา ใจ  ในเวลาเย็น  เย็นวันนั้นย่อมเป็นเย็นที่ดี  ของสัตว์เหล่านั้น
จากคำตรัสนี้  แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนทันสมัยไม่งมงายกับความเชื่อที่ไม่มี  เหตุผล  พิสูจน์ไม่ได้  ซึ่งคนในสังคมปัจจุบันจำนวนมากจะทำอะไรก็ต้องดูฤกษ์ รอยามจากหมอดูจากพระสงฆ์บางองค์ จากผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้  ซึ่งทำให้เกิดความกังวลสับสนและเสียทรัพย์ได้หากเป็นผู้มีปัญญาได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์  ก็จะเห็นว่าพระองค์ไม่ได้เห็นความสำคัญของฤกษ์ยามมากกว่าการประพฤติ  ปฏิบัติ  ทรงถือว่าบุคคลใดประพฤติดี  เมื่อใดเวลาใดก็ตามฤกษ์ดี  ก็จะเกิดขึ้นในเวลานั้นและจะเกิดได้ทุกขณะ  ถ้าประพฤติดีและปฏิบัติดี
2.  ความจนเป็นทุกข์ในโลก
               ในฉักกนิบาต  อังคุตตรนิกาย  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  “ความจนเป็นทุกข์ในโลก  ของผู้บริโภคตน”  ซึ่งได้อธิบายความหมายไว้ว่าความจนของคน  มี  2  ประเภท  คือ
               2.1  คนจนทางโลก  คือ  คนจนไม่มีทรัพย์ของตนเอง  ไม่มั่งคั่ง  ยอมกู้หนี้  การกู้หนี้ทำให้เป็นทุกข์เพราะต้องเสียดอกเบี้ย  ถูกทวง  ถูกตามตัวและสุดท้ายก็จะต้องถูกจองจำ  ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นความทุกข์ทางโลกทั้งสิ้น
               2.2  คนจนทางธรรม  คือ  คนที่ไม่มีศรัทธา  ไม่มีหิริ โอตตัปปะ  ไม่มีความเพียร  ไม่มีปัญญา  ซึ่งย่อมจะทำให้เกิดการทุจริตทางกาย  วาจา  และใจ  แล้วก็จะเกิดทุกข์เหมือนกับการกู้หนี้  เมื่อกายทำไม่ดี  ก็จะต้องหาทางปกปิดจนเป็นทุกข์เหมือนต้องเก็บดอกเบี้ย  แล้วจะต้องตามมาด้วยการพูดจาไม่ดี  ก็มีทุกข์เหมือนถูกทวงหนี้  สุดท้ายก็จะทุกข์เพราะคิดไม่ดีเหมือนถูกตามตัว  ถ้าทั้งกาย วาจา ใจ  ไม่ดีทั้งหมดก็เหมือนถูกจองจำ  ที่เป็นการจองจำในนรก
ท้ายสุดพระพุทธองค์ได้ตรัสสรุปไว้ว่า  เราไม่เห็นควรถูกจองจำอย่างอื่นสักอย่างเดียวที่ทารุณ  ที่นำทุกข์มาให้  ที่ทำอันตรายแก่การบรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากกิเลส  อันเป็นธรรมยอดเยี่ยม  เหมือนการถูกจองจำในนรกหรือในกำเนิดสัตว์เดรัจฉานนี้เลย  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่จะแก้ความจนได้ก็คือ  การปฏิบัติธรรมนั้นเอง 
3.  สิ่งที่ขอร้องหรือปรารถนาให้เป็นอย่างใจไม่ได้
               ตามปัญจกนิบาต   อังคุตตรนิกาย  พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลายฐานะ อย่าง  เหล่านี้  อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใคร ๆ ในโลก ไม่พึงได้ คือ
               3.1  ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา อย่าได้แก่เลย
               3.2  ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่าได้เจ็บไข้เลย
               3.3  ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา อย่าได้ตายเลย
               3.4  ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา อย่าได้สิ้นไปเลย
               3.5  ขอสิ่งที่มีความพินาศไปเป็นธรรมดา อย่าได้พินาศไปเลย
              จากคำสอนของพระพุทธเจ้าบอกได้ว่า ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความสิ้นไปและความพินาศไปของ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นสิ่งปกติธรรมดาไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงหรือหลีกเลี่ยงได้ เราจึงจำไม่ควรโศกเศร้าเสียใจมากเกินไป  เพราะคนอื่นก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน ถ้าเราทำใจไม่ได้ก็จะทำให้เสียงาน   กินอาหารไม่ได้  ร่างกายก็ทรุดโทรม เพื่อนฝูงก็จะพลอยเศร้าใจเปรียบเหมือนลูกศรที่ทิ่มแทงตัวเอง พระพุทธองค์จึงให้หลักคำสอนไว้ว่าเราควรระงับความเศร้า ไม่ลำบากใจ  ไม่บ่นเพ้อ  ไม่คร่ำครวญ  ไม่หลงใหล
เปรียบเสมือนการถอนลูกศรออกจากตัวเอง ความสุขสงบก็จะเกิดขึ้